This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ครูบาศรีวิชัย ลำพูน


ครูบาศรีวิชัย ลำพูน

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา


จังหวัดลำพูน
อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย
สถานที่ตั้ง ตั้งอยู่เชิงดอยติ บริเวณวัดพระธาตุดอยติ ตำบลป่าสัก อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน
ประวัติความเป็นมา
.................พระครูบาศรีวิชัย มีชีวิตอยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๒๑ - ๒๔๘๑ ถิ่นฐานบ้านเดิมของท่านอยู่ที่บ้านปาง ตำบลแม่ตืน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เมื่ออายุ ๑๘ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร และเมื่ออายุครบ ๒๑ ปี จึงได้ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้รับฉายาว่า สิริวิชโย ชาวบ้านได้เรียกท่านว่า พระศรีวิชัย เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
ท่านเป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติเคร่งครัดและสันโดษ ฉันอาหารวันละ ๑ มื้อ ไม่ฉันอาหารที่เป็นปลาและเนื้อ ท่านฉันแต่ผักเท่านั้น ทำให้ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่าน พากันทำบุญด้วยเป็นอันมาก ท่านมรณภาพ เมื่อ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๑
ความสำคัญต่อชุมชน
.....................พระครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นพระเถรนักพัฒนาแห่งล้านนาไทย ผู้พัฒนาทั้งด้านจิตใจ และด้านถาวรวัตถุ ให้แก่ชาวล้านนาไทยไว้อย่างเอนกอนันต์ เมื่อท่านไปพบเห็นสิ่งใดที่ชำรุดทรุดโทรม ท่านก็เป็นผู้นำในการ พัฒนาสร้างสรรค์ความเจริญถาวรมั่นคงขึ้นที่นั่นทุกแห่ง อาทิเช่น เป็นผู้นำสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ จังหวัด
เชียงใหม่ พัฒนาวัดพระธาตุดอยตุง จังหวัดเชียงราย ระหว่างการจาริกเผยแพร่ธรรมะให้กับชาวลำพูน ครูบาศรีวิชัยได้นำชาวลำพูนพัฒนาวัดพระธาตุหริภุญชัย พัฒนาวิหารวัดพระพุทธบาทตากผ้า พัฒนาวัด พระเจ้าตนหลวง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัด ลำพูน ฯลฯ ทุกหนทุกแห่งที่ครูบาศรีวิชัยไป ปรากฏว่ามีศานุศิษย์
หลั่งไหลกันมาทุกสารทิศ รวมทั้งชาวเขาเผ่าต่างๆ ทั้งนี้เพราะศรัทธาในตัวท่าน จึงเป็นความภูมิใจอย่างยิ่ง ใหญ่ของชาวลำพูน ที่ได้เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของนักบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาไทย จึงได้ร่วมใจกันสร้าง อนุสาวรีย์ของท่านเพื่อเป็นที่สักการะกราบไหว้บูชา สำหรับชาวลำพูนและประชาชนทั่วไป
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม

.....................มณฑปครอบองค์พระเป็นศิลปะล้านนายุคปัจจุบัน เส้นทางเข้าสู่อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย จากตัวเมืองลำพูนไปตามถนนสู่สามแยกดอยติ เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๑๑ (เชียงใหม่ -ลำปาง) ด้านขวามือ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๕ กิโลเมตร

อนุสาวรีย์ช้างเผือก เชียงใหม่


อนุสาวรีย์ช้างเผือก เชียงใหม่

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา

จังหวัดเชียงใหม่
ชื่อ อนุสาวรีย์ช้างเผือก
สถานที่ตั้ง อนุสาวรีย์ช้างเผือก ตั้งอยู่ที่ถนนช้างเผือก ใกล้กับสถานีขนส่งเชียงใหม่ ๑ อยู่ในเขต เทศบาลนครเชียงใหม่
ประวัติความเป็นมา
.................จากแผ่นจารึก ณ ประตูช้างเผือก อำเภอเมือง เชียงใหม่ จารึกข้อความว่า ในสมัยพญาแสนเมืองมา กษัตริย์ลำดับที่ ๙ ของล้านนาไทย ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๕๔ มหาดเล็กชื่ออ้ายออบและอ้ายยีระ ได้ช่วย เหลือกพญาแสนเมืองมาโดยผลัดกันแบกพระองค์ ให้พ้นอันตรายจากการโจมตีของกองทัพสุโขทัย กษัตริย์ล้านนา ได้ปูนบำเหน็จมหาดเล็กทั้ง ๒ เป็นที่ขุนช้างซ้าย ขุนช้างขวา ขุนช้างทั้ง ๒ ตั้งบ้านเรือนอยู่ทางทิศใต้ เชียงโฉมด้านตะวันออก และได้สร้างรูปช้างเผือกไว้ด้านซ้าย ขวาของถนนเข้าประตูช้างเผือก สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พระเจ้ากาวิละเจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้สร้างรูปปั้นช้างเผือก ๒ เชือก มีขนาดโต ใกล้เคียงกับช้างตัวจริง และทำซุ้มโค้งคลุมช้างเอาไว้ให้มองเข้าไปทางด้านหัวช้าง มีกำแพงล้อมรอบบริเวณ ทั้ง ๔ ทิศ และมีประตูเข้าออกได้ ทาด้วยสีขาวทั้งตัวช้างและกำแพง เชือกที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกชื่อ ปราบจักรวาล และเชือกที่หันหน้าไปทางทิศเหนือชื่อ ปราบเมืองมาร เมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๗ พ.ศ.
๒๓๔๓ ไว้ทางหัวเวียงนอกประตูช้างเผือกและอยู่ทางฟากตะวันออกของถนนช้างเผือก จากการสร้าง อนุสาวรีย์ช้างเผือก ๒ เชือกนี้ จึงเป็นเหตุให้ในสมัยหลังชื่อประตูเมืองเชียงใหม่ ด้านเหนือ เดิมชื่อ ประตูหัว เวียง เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น ประตูช้างเผือก ไปตามชื่อของอนุสาวรีย์ช้างเผือกจนถึงปัจจุบัน
ความสำคัญต่อชุมชน
.................เดือนพฤษภาคม - มิถุนายนทุกปี ชาวเชียงใหม่จะมีประเพณีบูชาอนุสาวรีย์ช้างเผือก ชาวบ้านที่อยู่ บริเวณนั้นก็จะร่วมกันตั้งเครื่องสังเวย พระยาช้างเผือกทั้ง ๒ เชือก
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
.................เป็นรูปช้างเผือก ๒ เชือก มีขนาดโตใกล้เคียงกับช้างตัวจริง และมีซุ้มโค้งคลุมช้างเอาไว้ มีกำแพงล้อม รอบบริเวณทั้ง ๔ ทิศ มีประตูเข้า - ออก ทาด้วยสีขาวทั้งตัวช้างและกำแพง
เส้นทางเข้าสู่อนุสาวรีย์ช้างเผือก
.................จากประตูช้างเผือกมาตามถนนช้างเผือก ประมาณ ๕๐๐ เมตร ก็จะถึงอนุสาวรีย์ช้างเผือก ซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ หรือ จากสี่แยกข่วงสิงห์เข้าเมืองตามถนนช้างเผือกผ่านสถาบันราชภัฏเชียงใหม่ ไปประมาณ ๗๐๐ เมตร อนุสาวรีย์จะอยู่ด้านซ้ายมือ
ประวัติความเป็นมา.................จากแผ่นจารึก ณ ประตูช้างเผือก อำเภอเมือง เชียงใหม่ จารึกข้อความว่า ในสมัยพญาแสนเมืองมา กษัตริย์ลำดับที่ ๙ ของล้านนาไทย ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๕๔ มหาดเล็กชื่ออ้ายออบและอ้ายยีระ ได้ช่วย เหลือกพญาแสนเมืองมาโดยผลัดกันแบกพระองค์ ให้พ้นอันตรายจากการโจมตีของกองทัพสุโขทัย กษัตริย์ล้านนา ได้ปูนบำเหน็จมหาดเล็กทั้ง ๒ เป็นที่ขุนช้างซ้าย ขุนช้างขวา ขุนช้างทั้ง ๒ ตั้งบ้านเรือนอยู่ทางทิศใต้ เชียงโฉมด้านตะวันออก และได้สร้างรูปช้างเผือกไว้ด้านซ้าย ขวาของถนนเข้าประตูช้างเผือก สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พระเจ้ากาวิละเจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้สร้างรูปปั้นช้างเผือก ๒ เชือก มีขนาดโต ใกล้เคียงกับช้างตัวจริง และทำซุ้มโค้งคลุมช้างเอาไว้ให้มองเข้าไปทางด้านหัวช้าง มีกำแพงล้อมรอบบริเวณ ทั้ง ๔ ทิศ และมีประตูเข้าออกได้ ทาด้วยสีขาวทั้งตัวช้างและกำแพง เชือกที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกชื่อ ปราบจักรวาล และเชือกที่หันหน้าไปทางทิศเหนือชื่อ ปราบเมืองมาร เมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๗ พ.ศ.๒๓๔๓ ไว้ทางหัวเวียงนอกประตูช้างเผือกและอยู่ทางฟากตะวันออกของถนนช้างเผือก จากการสร้าง อนุสาวรีย์ช้างเผือก ๒ เชือกนี้ จึงเป็นเหตุให้ในสมัยหลังชื่อประตูเมืองเชียงใหม่ ด้านเหนือ เดิมชื่อ ประตูหัว เวียง เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น ประตูช้างเผือก ไปตามชื่อของอนุสาวรีย์ช้างเผือกจนถึงปัจจุบันความสำคัญต่อชุมชน.................เดือนพฤษภาคม - มิถุนายนทุกปี ชาวเชียงใหม่จะมีประเพณีบูชาอนุสาวรีย์ช้างเผือก ชาวบ้านที่อยู่ บริเวณนั้นก็จะร่วมกันตั้งเครื่องสังเวย พระยาช้างเผือกทั้ง ๒ เชือกลักษณะทางสถาปัตยกรรม.................เป็นรูปช้างเผือก ๒ เชือก มีขนาดโตใกล้เคียงกับช้างตัวจริง และมีซุ้มโค้งคลุมช้างเอาไว้ มีกำแพงล้อม รอบบริเวณทั้ง ๔ ทิศ มีประตูเข้า - ออก ทาด้วยสีขาวทั้งตัวช้างและกำแพงเส้นทางเข้าสู่อนุสาวรีย์ช้างเผือก.................จากประตูช้างเผือกมาตามถนนช้างเผือก ประมาณ ๕๐๐ เมตร ก็จะถึงอนุสาวรีย์ช้างเผือก ซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ หรือ จากสี่แยกข่วงสิงห์เข้าเมืองตามถนนช้างเผือกผ่านสถาบันราชภัฏเชียงใหม่ ไปประมาณ ๗๐๐ เมตร อนุสาวรีย์จะอยู่ด้านซ้ายมือ

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุโขทัย


วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุโขทัย

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา


จังหวัดสุโขทัย
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
สถานที่ตั้ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้นอกกำแพงเมืองศรีสัชนาลัยตรงช่วงแหลมโค้งข้อศอกของ แม่น้ำยมหันหน้าวัดไปทางทิศตะวันออก
ความสำคัญต่อชุมชน
................วัดนี้เป็นวัดสำคัญของเมืองเชลียง ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๑ และในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จไปปราบชุมชนพระฝางเมืองสวางคบุรี แล้วได้เสด็จสมโภชพระบรมธาตุ เมืองเชลียงนี้ด้วย และวัดนี้ยังเป็นที่สรงน้ำมูรธาภิเษก สำหรับพระเจ้าแผ่นดินใหม่ที่จะขึ้นเสวยราชสมบัติมา แต่ครั้งโบราณกาล ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรมหาวิหาร
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
..................วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ที่สำคัญมีดังนี้ ปรางค์ประธาน ก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูนเสร็จแล้วลงสีชาดทับ ลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมจัดอยู่ ในสมัยอยุธยา ภายในซุ้มโขงมีสถูปรูปดอกบัวตูมขนาดเล็กโผล่ขึ้นมาคล้ายถูกสร้างครอบทับ ตามผนังภายใน
องค์ปรางค์พบว่ามีร่องรอยเดิมคงมีจิตรกรรมฝาผนัง แต่ลบเลือนไปมาก ส่วนบริเวณเรือนธาตุด้านหน้ามี บันไดขึ้นองค์ปรางค์ได้
ลักษณะฐานปรางค์องค์นี้ มีเป็นวิหารคด ๓ ชั้น ก่อผนังทึบ และเจาะช่องแสง ฐานปรางค์แผ่ขยาย กว้างออกไปทั้ง ๓ ด้าน (ด้านหน้าเป็นพระวิหาร) คล้ายสร้างครอบสถูปหรือเจดีย์ที่สำคัญไว้ภายใน มีอายุอยู่ ในช่วงก่อนสุโขทัยตอนต้น เนื่องจากขุดค้นพบฐานโบราณคดีก่อด้วยอิฐอยู่ใต้ฐานพระวิหารหลวง นอกจากนี้
ยังพบกระเบื้องเชิงชายรูปนางอัปสรและเทวดา ซึ่งมีลักษณะร่วมสมัยศิลปะเขมรแบบบายน เช่นเดียวกับลาย ปูนปั้นยอดซุ้มประตูกำแพงวัด ซึ่งทำเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร อยู่ด้านบนทั้ง ๔ ทิศ ด้านล่างเป็นรูป เทพธิดานั่งในกรอบ ซุ้มด้านล่างเป็นรูปนางอัปสรร่ายรำ
ฐานพระวิหารหลวงพ่อโต อยู่ด้านหน้าพระปรางค์ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางมารวิชัย ประทับอยู่ตรงกลางขนาบด้วยพระพุทธรูปขนาดเล็กประทับยืนทั้ง ๒ ข้าง ถัดจากพระพุทธรูปปางมาร วิชัยทางด้านขวามีพระพุทธรูปปั้นปางลีลาที่มีลักษณะงดงาม กำแพงวัดเป็นศิลาแลงแท่งกลมขนาดใหญ่ ปักเรียงชิดติดกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๖๐ เมตร ยาว ๙๐ เมตร มีคานทับหลังกำแพง มีทางเข้าออกด้านหลัง เหนือซุ้มประตูทำเป็นรูปคล้ายหลังคา ยอดเหนือซุ้ม
ขึ้นไปปั้นปูนเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระธาตุมุเตา อยู่ด้านหลังปรางค์ประธานนอกกำแพงแก้ว แต่ยังล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลงที่ทำ
เป็นสี่เหลี่ยม ซึ่งน่าจะเป็นคนละสมัยกับกำแพงศิลาแลงที่ทำเป็นท่อนใหญ่ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง ตัวพระธาตุมุเตาก่อด้วยศิลาแลงฐานเป็นเหลี่ยมซ้อนกัน ๔ ชั้น ต่อจากนั้นเป็นบัวถลา ๓ ชั้น ส่วนที่อยู่เหนือขึ้นไปพังทลายลงมาหมด ลักษณะพระธาตุมุเตาเป็นเจดีย์ทรงมอญ ในการขุดแต่งปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้พบ
ทองจังโกประดับส่วนยอดของเจดีย์ มณฑปพระอัฏฐารส อยู่ด้านหลังของพระธาตุมุเตา เดิมน่าจะเป็นมณฑปพระสี่อริยาบท ต่อมาได้
ซ่อมแซมดัดแปลงภายในซุ้มคูหายังมีพระพุทธรูปปูนปั้นยืนอยู่ เดิมเป็นมณฑปมุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา วิหารสองพี่น้อง อยู่ทางซ้ายพระอัฏฐารส ก่อด้วยศิลาแลง มีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ๒ องค์ อยู่บนแท่นพระ จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่าฐานวิหารสองพี่น้องก่อทับโบราณสถานที่ก่ออิฐ ข้างขวา
พระวิหารหลวงพ่อสองพี่น้องพบฐานรอยพระพุทธบาทด้วย โบสถ์ ตั้งอยู่ด้านหน้าพระวิหาร ปัจจุบันทางวัดได้บูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งหลังโดยสร้างทับโบสถ์เดิม
กุฏิพระร่วงพระลือ ชาวบ้านเรียกว่า ศาลพระร่วงพระลือ ได้รับการบูรณะซ่อมแซมในปีเดียวกันกับ โบสถ์ ลักษณะเป็นมณฑปฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้าง หลังคาคล้ายรูปชามคว่ำซ้อนกัน ๔ ชั้น ภายใน ประดิษฐานรูปหล่อพระร่วงพระลือ (จำลอง)
เส้นทางเข้าสู่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
....................จากตัวเมืองสุโขทัยไปทางทิศเหนือตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๑ ประมาณ ๕๕ กิโลเมตร

ตำนานพระร่วง พระลือ สุโขทัย


ตำนานพระร่วง พระลือ สุโขทัย

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา

จังหวัดสุโขทัย
ตำนานพระร่วง พระลือ
เนื้อเรื่อง
................เรื่องของพระร่วง เป็นที่รู้จักกล่าวขานอยู่ในเรื่องที่เป็นตำนานและปรัมปราคติ ทั้งที่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและเล่าต่อปากต่อคำกันมา โดยคนไทยในภาคเหนือตั้งแต่เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน และคนไทยในภาคกลางไปจนถึงนครศรีธรรมราช พระร่วงเป็นเรื่องราวของคนไทย ซึ่งได้สะท้อนภาพคุณลักษณะการเป็นวีรบุรุษ ซึ่งเลื่องลือแพร่กระจาย จนเป็นที่รับรู้ของคนไทยอย่างกว้างขวางที่สุดมากกว่าเรื่องวีรบุรุษใดในปรัมปราคติของไทยสมัยโบราณ เชื่อกันว่า พระร่วงนั้นมีวาจาสิทธิ์ รอบรู้ศิลปวิทยา สามารถคิดวิธีนำถ่ายน้ำไปยังที่ไกลๆ ได้สะดวก เป็นผู้มีบุญญาธิการ รูปงาม กล้าหาญ สามารถนำเรือสำเภาไปค้าขายถึงเมืองจีนได้ธิดาพระเจ้ากรุงจีนเป็นมเหสี และนำช่างจีนมาทำเครื่องปั้นดินเผาเคลือบที่สุโขทัย
..............ตามตำนานเล่าว่า พระร่วงเป็นพี่ พระลือเป็นน้อง พระร่วงนั้นได้ครองเมืองศรีสัชนาลัย มีช้างเผือกงาดำกับเขี้ยวงูเป็นของคู่บารมี ถึงคราวสิ้นบุญก่อนจะเสด็จลงอาบน้ำในแก่งหลวงแล้วหายไป ได้ตรัสสั่งให้น้องครองราชสมบัติแทน ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่าพระร่วงเมืองสุโขทัย เมื่อปราบขอมดำดินที่สุโขทัยสำเร็จแล้วได้ครองกรุงสุโขทัยและเดินทางไปเมืองเชลียง เอาช้างเผือกงาดำมาแกะเป็นรูปพระร่วง
สำหรับพระพุทธรูปที่เรียกว่า พระร่วง พระลือ นั้นเดิมประดิษฐานอยู่ที่กุฏิพระร่วง พระลือ สร้างอยู่ตรงหน้าอุโบสถวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แกะสลักด้วยงาช้าง ฉลองพระองค์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพระมหาธรรมราชาลิไท
...............ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๑๒๗ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงนำไปไว้ ณ กรุงศรีอยุธยาและสูญหาย ต่อมาชาวบ้านได้หล่อจำลอง ไว้ด้วยทองสัมฤทธิ์ยืนตรงยกพระหัตถ์เสมอพระอุระทั้งสองข้าง เหมือนกันทั้งสององค์ ทรงพระมาลาแบบที่เรียกกันว่า หมวกขีโบ และต่อมาจังหวัดสุโขทัยได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ภูมิภาคที่ ๓ สุโขทัย จนถึงปัจจุบัน

เขานางคำ สุโขทัย


เขานางคำ สุโขทัย

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา

จังหวัดสุโขทัย
ตำนานเขานางคำ
เนื้อเรื่อง
...............นายร่วง หรือพระร่วงผู้มีวาจาสิทธิ์แอบไปหลงรักนางคำสาวสวยที่สุดในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นายร่วง พยายามตามตื้อนางคำเพื่อให้นางเห็นใจแต่ก็มิได้ผล นางคำได้ออกอุบายโดยการชวนนายร่วงดำนาแข่งกัน ถ้านายร่วงชนะนางคำจะยอมแต่งงานด้วย แต่ถ้านายร่วงแพ้ต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับนาง นายร่วงตอบตกลงและ
นัดแนะวันแข่งขันดำนา เมื่อถึงวันแข่งขันนายร่วงก็แต่งตัวเสียโก้แล้วมายืนดูนางคำดำนา นางคำเริ่มลงมือดำนาจนเกือบจะ เสร็จนายร่วงก็ไม่มีท่าทีว่าจะลงมือดำนาเลย นางคำแปลกใจมากเพราะไม่มีวี่แววว่านายร่วงจะลงมือดำนา จึงตะโกนถามว่าเมื่อไรจะลงมือดำนาสักที นายร่วงยืนยิ้มกริ่มดูนางคำดำนามาตั้งแต่ต้นพลางคิดในใจว่าแค่
อึดใจเดียวก็เสร็จแล้วเพราะตนเองเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ ในที่สุดนางคำก็ตะโกนถามนายร่วงด้วยประโยคเดิมอีก นายร่วงได้ฟังดังนั้นก็จึงตะโกนตอบนางคำไปว่า เอาล่ะ ต่อไปนี้ข้าจะดำนาแล้วนะ เอ้านาจงเต็มไปด้วย ต้นกล้าทั้งแปลงเดี๋ยวนี้ พอพูดจบก็มี ต้นกล้าเต็มท้องนา นางคำตกใจมากที่เห็นต้นกล้าเต็มท้องนา จึงตะโกนว่า นายร่วงเป็นคนขี้โกง เมื่อนายร่วงทวงสัญญานางก็บ่ายเบี่ยงโดยอ้างว่าไม่เห็นนายร่วงลงมือ ดำนาเลย แล้ววิ่งหนีขึ้นไปแอบในถ้ำ แล้วนำผ้าถุงมาปิดปากถ้ำไว้ เพื่อไม่ให้นายร่วงเข้าไปในถ้ำ นายร่วง พยายามอ้อนวอนให้นางคำออกมาจากถ้ำเท่าไร ๆ ก็ไม่เป็นผล จึงสาปให้นางคำอยู่ในถ้ำตลอดไป ชาวบ้าน จึงเรียกเขานั้นว่า เขานางคำ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปัจจุบันเขานางคำอยู่ที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
คติ / แนวคิด
................ตำนานเรื่องนี้นอกจากจะช่วยอธิบายชื่อของภูเขาลูกหนึ่งในอำเภอศรีสัชนาลัยแล้ว ยังให้คติแก่ผู้ฟัง ในเรื่องของความกล้าหาญ ที่ไม่ถูกกาลเทศะซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อตนเองได้อีกด้วย

พระแท่นศิลาอาสน์ อุตรดิตถ์


พระแท่นศิลาอาสน์ อุตรดิตถ์

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา



วัดพระแท่นศิลาอาสน์อุตรดิตถ์
photos by Thai-Tour.Com: dated 12 Aug 02
วัดพระแท่นศิลาอาสน์
     ตั้งอยู่บ้านพระแท่น ตำบลทุ่งยั้ง อยู่เลยวัดพระยืนไปเล็กน้อย วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีพระแท่นศิลาอาสน์เป็นศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฐานของพระแท่นโดยรอบประดับด้วยลายกลีบบัว มีตำนานว่าพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์เคยเสด็จมาจำศีลบำเพ็ญพุทธบารมี ณ ที่แห่งนี้ ต่อมาจึงมีการสร้างพระแท่นศิลาอาสน์ขึ้น บานประตูวิหารพระแท่นศิลาอาสน์ที่เป็นไม้สักแกะสลักนั้น เดิมเคยเป็นบานประตูวิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลกมาก่อน นอกจากนั้นภายในบริเวณวัดมีพิพิธภัณฑ์ที่เดิมเป็นศาลาการเปรียญ สร้างด้วยไม้ มี 2 ชั้น ชั้นล่าง เป็นที่แสดงเครื่องมือจับสัตว์น้ำโบราณ เรือพายโบราณ ชั้นบน แสดงเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตชาววัง - ชาวบ้านสมัยก่อน เครื่องจักสาน เครื่องมือตีเหล็ก - ก่อสร้าง เครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัย ธรรมาสน์โบราณฝีมือช่างสมัยอยุธยา พระพุทธรูปที่แกะจากต้นโพธิ์โบราณ และพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย-กรุงศรีอยุธยา รวมถึงศิลปวัฒนธรรมของชาวเหนือ พิพิธภัณฑ์นี้เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.
พระแท่นศิลาอาสน์เป็นพุทธเจดีย์ เช่นเดียวกับพระแท่นดงรัง เป็นที่เชื่อกันมาแต่โบราณว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งห้าพระองค์ในภัทรกัปนี้ ได้เสด็จและจะได้เสด็จมาประทับนั่งบนพระแท่นแห่งนี้ เพื่อเจริญภาวนา และได้ประทับยับยั้งในเวลาที่ตรัสรู้แล้ว เพื่อโปรดสัตว์ ซึ่งแสดงว่าพระแท่นศิลาอาสน์นี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างต่อเนื่อง ในพระพุทธศาสนามายาวนาน ตัวพระแท่นเป็นศิลาแลง มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 8 ฟุต ยาวประมาณ 10 ฟุต สูง 3 ฟุต ที่ฐานพระแท่นประดับด้วยลายกลีบบัวโดยรอบ มีพระมณฑปครอบ อยู่ภายในพระวิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า พระแท่นศิลาอาสน์อาจมีมาก่อนแล้วช้านาน ก่อนที่พระเจ้าบรมโกศเสด็จไปบูชา เพราะพระแท่นศิลาอาสน์อยู่ริมเมืองทุ่งยั้งซึ่งตั้งมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัย และบางทีชื่อทุ่งยั้งนั้นเอง จะเป็นนิมิตให้เกิดมีพระแท่น เป็นที่พระพุทธเจ้าประทับยับยั้ง เมื่อเสด็จผ่านมาทางนั้น ในทางตำนานมีคติที่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จยังประเทศต่าง ๆ ภายนอกอินเดียด้วยอิทธิฤทธิ์ฌานสมาบัติ และได้ประดิษฐานเจดีย์ หรือตรัสพยากรณ์อะไรไว้ในประเทศเหล่านั้น เป็นคติที่เกิดในลังกาทวีป และประเทศอื่นได้รับเอาไปเชื่อถือด้วย จึงเกิดมีเจดีย์วัตถุและพุทธพยาการณ์ ที่อ้างว่าพระพุทธองค์ได้ทรงประดิษฐานเจดีย์ไว้ มากบ้าง น้อยบ้างทุกประเทศ เฉพาะเมืองไทย มีปรากฏในพงศาวดารโดยลำดับมาว่า พบรอยพระพุทธบาท ณ ไหล่เขาสุวรรณบรรพต เมื่อรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม รัชกาลพระเจ้าเสือได้เสด็จไปบูชาพระพุทธฉาย ณ เขาปัถวี และพระเจ้าบรมโกศ เสด็จไปบูชาพระแท่นศิลาอาสน์

บานประตูวัดพระแท่นศิลาอาสน์บานเก่า ปัจจุบันได้ถูกไฟไหม้ไปหมดแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2451มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า นายช่างที่สร้างวิหาร วัดพระแท่นศิลาอาสน์ วัดพระฝาง และวัดสุทัศน์ เป็นนายช่างคนเดียวกัน บานประตูเก่าของพระวิหารเป็นไม้แกะสลักฝีมือดี แกะไม้ออกมาเด่น เป็นลายซ้อนกันหลายชั้น แม่ลายเป็นก้านขด ปลายเป็นรูปภาพต่าง ๆ เป็นลายเดียวกับลายบานมุขที่วิหารพระพุทธชินราช อาจสร้างแต่ครั้ง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระเจ้าบรมโกศ ทรงมีพระราชศรัทธา ให้ทำประตูมุขตามลายเดิมถวายแทน แล้วโปรดให้เอาบานเดิมนั้นไปใช้เป็นบานวิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ประตูวิหารเก่าบานดังกล่าวได้ถูกไฟไหม้ไปเมื่อ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2451 เป็นไฟป่าลุกลามไหม้เข้ามาถึงวัด ไฟไหม้ครั้งนั้น เหลือกุฏิซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อธรรมจักรอยู่เพียงหลังเดียว ต่อมาพระยาวโรดมภักดี เจ้าเมืองอุตรดิตถ์ ได้เรี่ยไรเงินสร้างและซ่อมแซมวิหาร ภายในวิหารมีซุ้มมณฑปครอบพระแท่นศิลาอาสน์ไว้

งานเทศกาลนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์
ประเพณีการทำบุญไหว้พระแท่นศิลาอาสน์มีมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว มีผู้มาสักการะบูชาทั้งในเทศกาลและนอกเทศกาลตลอดปี พุทธศาสนิกชนมีความเชื่อว่า การได้มาสักการะบูชาพระแท่นศิลาอาสน์ จะได้รับอานิสงส์สูงสุด และเช่นเดียวกับพระพุทธบาทสระบุรี พุทธศาสนิกชนผู้มีความศรัทธา จะขวนขวายมานมัสการให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ตอนเหนือจังหวัดอุตรดิตถ์ จะพยายามเดินทางมานมัสการ พระแท่นศิลาอาสน์ แม้ว่าหนทางจะทุรกันดารเพียงใดก็ไม่ย่อท้อถอย และเห็นว่า เป็นการได้สร้างบุญกุศลที่มีค่าควร การมานมัสการจะกระทำทุกครั้งที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันมาฆบูชา ณ วันเพ็ญ เดือนสาม

งานเทศกาลนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ณ วันเพ็ญ เดือนสาม อันเป็นวันมาฆบูชา จะเริ่มตั้งแต่ วันขึ้น 8 ค่ำ ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสาม บรรดาพระภิกษุสงฆ์จะธุดงค์มาปักกลดพักแรมที่บริเวณใกล้วัด เมื่อถึงวันมาฆบูชา เวลาประมาณ 19.30 น. พระภิกษุสงฆ์จะเข้าไปในพระวิหาร แล้วสวดพระพุทธมนต์ มีพระธรรมจักรกัปปวัตตสูตร เป็นต้น เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ก็ออกมาให้ศีลให้พรแก่ผู้ที่มานมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ในตอนเช้าของทุกวันในระหว่างเทศกาล บรรดาพระสงฆ์ที่ธุดงค์มานมัสการ พระแท่นศิลาอาสน์ จะเดินทางเข้าไปบิณฑบาตรตามหมู่บ้าน และบรรดาชาวบ้านจะนำอาหารมาถวายที่วัดอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อพระฉันอาหารเสร็จแล้ว ชาวบ้านก็จะแบ่งปันอาหารร่วมรับประทานด้วยกัน รวมทั้งผู้ที่เดินทางมานมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ด้วย นับว่าเป็นการทำบุญกลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี

เนื่องจากพระบรมธาตุทุ่งยั้ง และวัดพระยืนพุทธบาทยุคล มีอาณาบริเวณอยู่ติดต่อกัน จึงจัดงานประจำปีพร้อมกันกับวัดพระแท่นศิลาอาสน์ เป็นเวลา 8 วัน 8 คืน ทำให้พุทธศาสนิกชนที่มาในงานเทศกาลนี้ได้ นมัสการพระบรมธาตุ และพระพุทธบาทด้วย เป็นการได้นมัสการพระพุทธเจดียสถาน อันเป็นที่เคารพสักการะ ได้ครบถ้วนในโอกาสเดียวกัน ยากจะหาที่ใดเสมอเหมือน
สอบถามแนะนำข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.thai-tour.com/wb/view_topic.php?id_topic=221 
จังหวัดอุตรดิตถ์
วัดพระแท่นศิลาอาสน์
สถานที่ตั้ง วัดพระแท่นศิลาอาสน์ ตั้งอยู่ที่บ้านพระแท่น ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์
ประวัติความเป็นมา
................วัดพระแท่นศิลาอาสน์ชาวบ้านมักเรียกสั้น ๆว่าวัดพระแท่น เป็นวัดเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ พระแท่น เป็นศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง ๘ ฟุต ยาว ๙ ฟุต ๘ นิ้ว สูง ๓ ฟุต เชื่อว่าเป็นที่ประทับของ สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งที่บำเพ็ญเพียร มีมณฑปครอบอยู่เบื้องบน ที่ฐานของพระแท่นโดยรอบประกอบ
ด้วยลายกลีบบัว ข้างในวัดพระแท่นศิลาอาสน์มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ คือ หลวงพ่อพระธรรมจักร เชื่อกันว่า สามารถป้องกันไฟได้ บานประตูของวิหารมีลักษณะงดงาม เล่ากันว่าเดิมเป็นบานประตูของวิหาร พระพุทธชินราช ครั้งสมเด็จพระบรมโกฐ ทรงเปลี่ยนให้เป็นประตูลายมุก และย้ายบานเดิมมาไว้ที่พระแท่น
ศิลาอาสน์ ซึ่งถูกไฟไหม้หมดแล้ว และทำขึ้นใหม่ทดแทน
ความสำคัญต่อชุมชน
................วัดพระแท่นศิลาอาสน์มีงานประเพณีประจำปีทุกปี เรียกว่างานนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ร่วมกับ วัดพระยืนพุทธบาทยุคล วัดพระนอน และวัดพระบรมธาตุ ในวันขึ้น ๘ ค่ำถึง ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เป็นเวลา ๘ วัน ๘ คืน
เส้นทางเข้าสู่วัดพระแท่นศิลาอาสน์
...............จากตัวเมืองอุตรดิตถ์ไปตามทางหลวง ๑๐๒ ประมาณ ๓.๕ กิโลเมตร การเดินทางสะดวก ปลอดภัย สภาพเส้นทางเป็นทางลาดยางอย่างดี มีรถบริการผ่านหน้าวัด

เจ้าพระฝาง อุตรดิตถ์


เจ้าพระฝาง อุตรดิตถ์

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา


จังหวัดอุตรดิตถ์
พระนาม เจ้าพระฝาง
พระราชประวัติ
..............เจ้าพระฝางเดิมชื่อเรือน คาดว่าเป็นชาวเชียงใหม่ บ้านอยู่ที่เวียงป่าเป้า เมืองฝางครอบครัวค่อนข้างมีอันจะกิน ได้บวชเป็นเณรตั้งแต่เล็กที่เวียงป่าเป้า ได้ติดตามอาจารย์พระธุดงค์ไปหลายแห่ง ชอบศึกษาทางไสยศาสตร์เวทมนต์ คาถาอาคมและคงกระพัน กับพระอาจารย์หลายองค์ส่วนใหญ่เป็นพระธุดงค์และได้มา
บวชเป็นพระที่เมืองแพร่ นอกจากจะมีความเชี่ยวชาญทางวิทยาคมหาใครเสมอเหมือนมิได้แล้ว พระเรือนยังมีความเชี่ยวชาญทางด้านกรรมฐานและแตกฉานทาง พระไตรปิฏกอย่างมาก ได้ธุดงค์ลงไปเรื่อย ๆ เพื่อศึกษาและแสวงธรรมในสถานที่ต่าง ๆ ตามวาระโอกาสจนถึงอยุธยาก็เข้าจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีอโยธยา ได้
ศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมจนได้เป็นที่ พระพากุลเถระ ตำแหน่งพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ ต่อมาพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงแต่งตั้งให้เป็นตำแหน่งสังฆราชา ขึ้นไปเป็นเจ้าคณะสงฆ์ เมืองสวางคบุรี อยู่ ณ วัดพระฝางสวางคบุรี
ผลงาน
.................เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ หัวเมืองทั้งหลายได้พากันตั้งตนขึ้นเป็นเจ้า มีอยู่ถึง ๖ ก๊ก พระสังฆราชาเรือนเป็นผู้ที่ชาวเมือง เชื่อถือว่ามีวิชาอาคมเชี่ยวชาญทุกด้านสาขา ได้ตั้งตัวเป็นเจ้าโดยที่ยังเป็นพระสงฆ์อยู่ โดยเปลี่ยนสีเครื่องนุ่งห่มจากสีเหลืองเป็นสีแดงแสด คนทั้งหลายเรียกเจ้าพระฝาง ครอบ
ครองอาณาเขตตั้งแต่เมืองเวียงจันทร์ หลวงพระบาง น่าน แพร่ พิชัย จนถึงพิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท และอุทัยธานี
ในปี พ.ศ. ๒๓๑๓ พระเจ้าตากสินได้กรีธาทัพเข้าโจมตีก๊กเจ้าพระฝาง ซึ่งเป็นก๊กสุดท้าย ที่มีกำลังแข็งแกร่งทัดเทียมกัน พระเจ้าตากได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้อ่อนน้อมเข้าเป็นพวกเดียวกัน เจ้าพระฝางก็ไม่ยินยอมได้ส่งทัพออกรบนอกค่ายหลายคราวก็ประสบความปราชัยทุกครั้ง ครั้นจะสู้รบต่อไป คนที่จะล้มตายก็ คือไพร่พลทหาร พระสงฆ์และชาวบ้าน กับคนไทยต้องฆ่าฟันกันเอง จึงคิดว่าถ้าหากหนีหายไปทุกอย่างก็จะ
จบลงด้วยดีไม่ต้องฆ่าฟันกัน จึงใช้วิชาคาถาอาคมหลบลี้หนีออกจากค่ายไป เมืองฝาง หรือเมืองสว่างคบุรี ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ คือที่เดียวกันกับวัดพระฝางหรือ วัดพระฝางสว่างคบุรี มุนีนาถในปัจจุบัน เมื่อสิ้นยุคสมัยเจ้าพระฝางแล้ว เมืองฝางก็เสื่อมคลายความสำคัญลงไปตามลำดับ จนอยู่
ในสภาพเสื่อมโทรมข้าวของสูญหายไปจำนวนมาก ของชิ้นสำคัญที่ยังหลงเหลืออยู่ที่วัด และที่นำไปเก็บไว้ในที่อื่น ๆ ได้แก่ ระฆังโบราณคู่บ้านคู่เมือง ยังเก็บรักษาไว้ที่ วัดพระฝาง บานประตูไม้แกะสลักลวดลายสวยงามมาก เก็บรักษาไว้ที่วัดธรรมาธิปไตย อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ พระฝางพระพุทธรูปที่งดงามมากได้ชลอมา
ไว้ที่วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพมหานคร สมัยรัชกาลที่ ๕